Day: October 24, 2019

การเรียกนักบินไปบินแทนกัน

เครื่องบินโดยสารต้องมีนักบินสองคนเสมอในการบิน คนหนึ่งเป็นกัปตัน อีกคนหนึ่งเป็นนักบินผู้ช่วยหรือ co-pilot เวลาจัดตารางบิน ก็จะจัดให้มีหนึ่งกัปตันและหนึ่งโคไพลอตเสมอ เงื่อนไขบางอย่างทำให้การจัดบินมีข้อจำกัด (รวมถึงการเรียกบินเพื่อทดแทนนักบินที่ป่วยหรือมีเหตุสุดวิสัยไม่สามารถทำการบินได้) เช่น นักบินเพิ่งเข้ามาบินในบริษัท ไม่ถึง 3 เดือน ห้ามบินด้วยกัน กัปตันใหม่กับโคไพลอตใหม่ ถ้ายังบินไม่ถึง 3 เดือนห้ามบินด้วยกัน กัปตันกับนักบินอายุเกิน 60 ปีทั้งคู่ ห้ามบินด้วยกัน พ่อ-ลูก ไม่ควรจัดบินด้วยกัน นักบินที่อยู่ในระหว่างฝึก ต้องบินกับครูเท่านั้น นักบินที่มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ (ตามใบแพทย์) ห้ามบินด้วยกัน ถ้ามีนักบินอยู่ในระหว่างการฝึกมาก ปริมาณครูก็จะต้องมีจำนวนมากเพียงพอเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนลูกศิษย์ เวลาที่ต้องเรียกนักบินเสริม หรือต้องหานักบินใหม่ จะต้องไม่ให้ขัดกับข้อจำกัดต่าง ๆ ที่กำหนดไว้  กัปตันบินด้วยกันได้ไหม คำตอบคือ ได้ ครับ และเกิดขึ้นในหลายกรณี เช่น  กัปตันเปลี่ยนแบบเครื่องบินมาจากแบบอื่น ก็ต้องบินกับครูฝึกกัปตัน ที่จะนั่งที่นั่งโคไพลอต ทำหน้าที่เหมือนเป็นโคไพลอตเพื่อให้กัปตันที่ถูกฝึกนั่งที่นั่งกัปตัน หรือ กัปตันสองคนไม่ใช่ครูฝึกทั้งคู่ แต่บินด้วยกันได้ ถ้ากัปตันได้รับการฝึกให้นั่งที่นั่งด้านขวาแล้ว ยังมีเรื่องข้อจำกัดอื่นอีกครับ เช่น เวลาพักผ่อนก่อนที่จะทำการบิน มีข้อกำหนดว่าต้องพักไม่น้อยกว่าช่วงเวลาที่ทำการบินไปแล้ว หรือ อย่างน้อย 8 ชั่วโมง การบินต่อเนื่องหรือติดต่อกัน จะกำหนดไว้ว่าให้ทำหน้าที่ได้กี่ชั่วโมงในหนึ่งวัน ขึ้นอยู่กับจำนวนแลนดิ้ง และช่วงเวลาเริ่มต้นทำการบิน หรือ ช่วงเวลาท้องถิ่นที่ทำการบินที่มีความต่างของเวลา ก็ทำให้ชั่วโมงทำการบินถูกจำกัดให้ลดลงด้วย โดยเฉพาะถ้าเราเริ่มทำการบินในประเทศที่มีความต่างของเวลามากเกินกว่า 3 ชั่วโมง ยังมีข้อกำหนดประเภทอื่น ๆ เข้ามาประกอบอีกหลายอย่างครับ ตัวแปรต่าง ๆ เหล่านี้ จึงทำให้การเรียกนักบินเพื่อทดแทนกันนั้น […]

กัปตัน Low Cost

โพสต์นี้เขียนเมื่อครบหนึ่งปีที่บินกับสายการบินนกแอร์ สายการบินต้นทุนต่ำของคนไทย มีคำถามหนึ่งจากรุ่นน้องนอกวงการการบินผุดขึ้นมาในใจระหว่างนึกเรื่องที่อยากจะเขียนเล่าลงในเฟสบุ๊ค “ความต่างของสายการบินต้นทุนต่ำกับสายการบินพรีเมี่ยมมันมีจุดวัดที่ตรงไหนในเรื่องของความคุ้มค่าในการเลือกใช้บริการ” วันนั้นผมยังตอบปัญหานี้ได้ไม่ชัดเจนนักเพราะผมในตอนนั้น ไม่เคยบินหรือนั่ง low cost airline มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว วันนี้ผมรวบรวมความคิดหลายๆ อย่างจากประสบการณ์ที่บิน Premium Airline ที่การบินไทยมา 21 ปีและมาบินที่นกแอร์ได้หนึ่งปี จริงๆ ผมอยู่นกแอร์มาปีเศษๆ โดยเริ่มจากการทำงานบริหารด้านความปลอดภัยในการให้บริการการบินของบริษัท และเริ่มเข้าเรียนเครื่องบินแบบใหม่ กว่าจะได้ขึ้นบินก็ปลายเดือนมค.ปี 2016 ความต่างที่มีอย่างชัดเจนระหว่าง premium กับ low cost airline คือ options ในการให้บริการหรือตัวเลือกในการให้บริการแก่ผู้โดยสาร ผมใช้คำว่า Options เพื่อสื่อให้เห็นว่า ไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดไว้ตามกฎหมาย แต่เป็นสิ่งที่สายการบินเพิ่มขึ้นมาเพื่อให้ลูกค้าเลือก หรือได้รับความประทับใจและอยากใช้บริการอีกในคราวต่อๆไป นี่เป็นหลักพื้นฐานของธุรกิจบริการ ตัวอย่างเช่น การได้รับการบริการด้านอาหารและเครื่องดื่ม สายการบิน full-service หรือ premium airline ย่อมพยายามเฟ้นหาตัวเลือกที่โดดเด่นในการนำมาให้บริการแก่ลูกค้าที่ใช้บริการของสายการบิน อย่างการบินไทย ให้บริการเรื่องอาหารและเครื่องดื่มโดยมีการบริการฟรี และมีคุณภาพของอาหารและอุปกรณ์เครื่องใช้ในการทานอาหารแตกต่างกันออกไปตามคลาสที่นั่ง เครื่องดื่มก็เช่นกัน บริการฟรีตลอดและมีตัวเลือกตามระดับราคาตั๋ว แต่สำหรับ Low Cost Airline ปกติไม่มีการบริการอาหารและเครื่องดื่ม ทุกอย่างต้องซื้อ ส่วนนกแอร์มี snack box เป็นขนมและน้ำดื่มให้บริการผู้โดยสารทุกคน หากต้องการทานเพิ่มค่อยจ่ายเงิน แต่เรื่องระบบการบริหารด้านความปลอดภัยนั้นไม่มีความแตกต่างกันครับ ตัว core business หรือขั้นตอนในการปฏิบัติการหลักนั้นถูกกำกับไว้ตามกฏหมายให้มีโครงหลักที่เหมือนกันทั่วโลกแต่อาจจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างเพียงเล็กๆน้อยๆ เนื่องจากพื้นที่ของการให้บริการที่ต้องเพิ่มมาตรการตามที่แต่ละประเทศที่บินผ่านกำหนดไว้เพิ่มเติมหรือแตกต่างกัน การกำกับดูแลและกฏหมายยิบๆย่อยๆของแต่ละประเทศ  แต่ไม่ว่าจะเป็น low cost หรือ premium […]

กัปตันจอมฝืด

ตอนที่แล้วพูดถึงการเป็นนักบินพาณิชย์ พูดถึง Co-Pilot ในดวงใจ ช่วงการเป็น co-pilot เป็นช่วงของการสะสมประสบการณ์ ได้เห็นตัวอย่างการบริหารจัดการของกัปตันแต่ละท่านที่อาจจะมีวิธีการจัดการหรือแก้ปัญหาหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไปบ้าง แต่วัตถุประสงค์รวมคือ การแก้ปัญหาหรือป้องกันปัญหาให้อยู่ในวิสัยที่จะควบคุมได้ทั้งนั้น ทีนี้การควบคุมหรือดูแลด้านความปลอดภัยของเที่ยวบินนั้น อาจจะมีกรอบหรือข้อกำหนดตามกฏหมายอยู่ก็จริง แต่เป็นกรอบที่อาจจะไม่ได้ระบุวิธีทำ 1-2-3-4 แต่เป็นการกำหนดว่าอนุญาตให้ดำเนินการต่อได้ถ้าครบถ้วนหรือไม่บกพร่องในเรื่องต่าง ๆ ดังนั้น ปัญหาแบบเดียวกัน แต่การแก้ปัญหาอาจใช้วิธีที่ต่างกันได้ และขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนแก้ปัญหาด้วย ธรรมชาติของการบินแอร์ไลน์มักจะมีการกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติในเรื่องต่าง ๆ ไว้ให้มากที่สุด เพื่อที่จะพยายามให้ทุกคนทำหรือแก้ปัญหาทางเทคนิคของเครื่องบินเรื่องเดียวกันในแบบเดียวกัน โดยการเขียนเป็น checklist เอาไว้ แต่ปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหาทางเทคนิค แต่เกี่ยวกับคน เป็นปัญหาที่ต้องดำเนินการด้วยวิจารณญานในการตัดสินใจ กัปตันจอมฝึดมีจริงๆครับ ส่วนตัวแล้วตอนที่เป็นโคไพลอตผมไม่เคยหนีหรือหลบกัปตันที่มีชื่อเสียงว่า “ดุ” ไม่เคยแลกไฟล์ทเพื่อไม่บินด้วย และไม่เคยสนใจว่าจะถูกแลกให้ไปบินกับกัปตันที่ขึ้นชื่อว่า “เรื่องมาก” หากเราเปิดใจให้กว้างมากพอ เราจะได้เห็นสิ่งดีดีจากกัปตันท่านเหล่านั้นว่า เป็นคนที่มีความรู้มาก รู้จักข้อกำหนดต่าง ๆ เยอะ และเจออะไรในชีวิตการบินมาหลากหลายรูปแบบ สมัยก่อนตอนที่ย้ายไปเป็น co-pilot ที่เครื่องบินจัมโบ้ B747-400 ใหม่ ๆ ตอนนั้นจัมโบ้บินไกล ๆ อย่างเดียว ไปอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย พอผ่านการฝึกและเข้าเป็นนักบินปกติ เป็น line-pilot (ไม่ต้องบินกับครูการบินแล้ว) เดือนแรกก็ได้พบกับกัปตันในตำนาน 4 ท่านใน 4 ไฟล์ทของตารางบินเดือนนั้น แบบว่ามาครบเลย ผมจำได้แม่นยำมากว่าเจอท่านใดบ้าง เพราะก่อนบินรับรู้ข้อมูลจากการที่พี่ ๆ เพื่อน ๆ เล่าให้ฟังว่า ท่านนั้นเป็นอย่างนั้น ท่านนี้อย่างนี้ ฯลฯ แต่ผมคิดอย่างนี้ครับ […]

co-pilot ในดวงใจ

นึกยังไงไม่รู้ ด้วยความที่ไม่ค่อยได้มีตารางขึ้นบินบ่อยนัก แต่ก็นึก ๆ ถึงการบินอยู่ตลอด ตอนที่ทำงานออฟฟิศ ก็ต้องอ่านรายงานเกี่ยวกับการบินและการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการจัดการอยู่บ่อย ๆ ก็เลยนึกอยากเขึยนเรื่อง “co-pilot ในดวงใจ” ขึ้นมา โดยวาดโครงเรื่องประมาณว่า นักบินผู้ช่วยแบบไหนนะ ที่เราหรือกัปตันจะอยากบินด้วย คนคนนั้นควรจะมีคุณสมบัติอย่างไร โดยส่วนตัวแล้วสำหรับผม ไม่ค่อยเรื่องมากนักว่า น้องที่มาบินด้วยจะต้องเป็นคนอย่างไร แต่จะว่าไปก็อยากได้แบบนี้เหมือนกันครับ “ไม่ต้องรู้ใจ แต่ต้องรู้งาน” ส่วนใหญ่นักบินใหม่ ๆ มักพยายามจะเอาใจกัปตัน จะพยายามทำหรือปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกอกถูกใจกัปตันเข้าไว้ เพราะคิดว่าจะทำให้ทำงานง่ายและราบรื่น แต่สำหรับผม ใครมาพยายามเอาใจมาก ๆ ผมกลับรำคาญ สิ่งที่ผมอยากได้จากนักบินคือ การรู้งานครับ การรู้งานมีความหมายมากกว่า การรู้ใจ  การทำงานโดยที่อยู่บนพื้นฐานของ กฏ กติกา และมารยาท ผมว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญกว่า นักบินที่พยายามเอาใจกัปตันอย่างไร้เหตุผล สุดท้ายก็จะทำให้กัปตันเหลิงและกลายเป็นคนเอาแต่ใจ ลุแก่อำนาจหน้าที่ เวลาตัดสินใจอะไร ก็จะไม่ถามความสมัครใจหรือความเห็นเพื่อนร่วมงาน (แต่บางสถานะการณ์กัปตันก็ต้องตัดสินใจเลย รอถามไม่ได้เหมือนกัน อันนี้อธิบายยากอยู่เหมือนกันครับ)  ทำอย่างไรล่ะที่จะเรียกว่า รู้งาน  การรู้งาน คือ การมีความรู้เกี่ยวกับงานในหน้าที่  “ต้องไม่จับเสือมือเปล่า”  ถ้าบินไปสนามบินที่ไม่เคยไป ต้องอ่าน chart ของสนามบินมาอย่างทะลุปรุโปร่ง ต้องทำการบ้านมาก่อน การอ่าน chart อย่างทะลุปรุโปร่งหมายความว่า มีพื้นฐานในการทำความเข้าใจวิธีการบิน มีการวิเคราะห์ทางหนีทีไล่ การเข้าใจโครงสร้างของการเข้าออกของสนามบิน (SID-STAR: Standard Instrument Departure-Standard Arrival Route) และมองเห็นข้อจำกัดในพื้นที่การบินของสนามบินนั้น อาทิเช่น ข้อจำกัดในการเข้า-ออก ของแต่ละทางขับ […]

นักบินอาชีพ

บินดี (ในมุมของนักบิน การบินดีคือบินได้ถูกต้องตามหลักการบิน ที่เราเรียกว่า Flight Procedures)  การบินได้นิ่มนวล ทั้งการลดระดับเพดานบินและการร่อนลงสู่สนาม โดยที่ผู้โดยสารไม่รู้สึกหูอื้อ หรือถูกกระชาก หรือกระแทก อันนี้คือส่วนที่ ผู้โดยสารสัมผัสได้  แต่บางครั้งนักบินจะไม่เลือกความนิ่มนวล หากความนิ่มนวลนั้นจะก่อให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้น อาทิเช่น หากสนามบินมีฝนตกและกระแสลมแรง จะทำให้ทัศนวิสัยต่ำ พื้นสนามบินเปียกก็จะลื่น การลงจอดจะใช้ระยะทางมากกว่าปกติ ดังนั้น นักบินจะเลือกลงกระแทกเล็กน้อยเพื่อให้ล้อของเครื่องบินสัมผัสผิวรันเวย์และเริ่มการเบรคเพื่อลดความเร็วให้ได้เร็วและให้ใช้ระยะทางบนรันเวย์น้อย ๆ  อีกคุณสมบัติหนึ่งของการเป็นนักบินที่ดี คือ ความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหา หรือการคาดคะเนความต่อเนื่องของปัญหา เพราะว่าปัญหาบางเรื่องทำตัวเหมือนฆาตกรต่อเนื่อง คือเกิดอันนี้ขึ้นจะกระทบกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่อๆกัน  แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเครื่องบินถูกออกแบบระบบต่างๆเพื่อพยายามกำจัดหรือจำกัดให้เป็นปัญหาเดี่ยวๆให้มากที่สุดโดยการมีระบบสำรองเข้ามาทำงานแทน แต่ก็ยังมีปัญหาอื่นๆอยู่บ้างที่ทำให้นักบินต้องนึกถึงปัญหา ที่อาจจะมีตามมาหลังจากเกิดปัญหาแรก โดยเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้โดยสาร และสภาพอากาศที่มีผล กระทบต่อการปฏิบัติการบินหลังจากนั้น ซึ่งสิ่งสำคัญที่ต้องนำมาคิดเสมอและเป็นลำดับแรกทุกครั้งคือ ความปลอดภัย  ความรู้และความเข้าใจในระบบต่างๆของเครื่องบินและกฏระเบียบการบินจึงมีความสำคัญส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือ ประสบการณ์ในการแก้ปัญา โดยเฉพาะปัญหาที่ไม่ได้เกิดจากระบบของเครื่องบิน  นักบินแต่ละคนจึงอาจจะแก้ปัญหาเรื่องเดียวกันด้วยวิธีที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ณ ขณะนั้น ประกอบเข้ากับประสบการณ์การบินที่ผ่านมา  ผมจึงอยากจะบอกว่า ไม่ว่านักบินจะแก้ปัญหาแล้วเกิดผลกระทบกับการเดินทางของเรามากน้อยอย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดที่นักบินทุกคนนึกถึงก่อนทุกครั้ง เมื่อนักบินกำลังเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องแก้ไข  คือ  “ความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกคน”  สำหรับผู้โดยสารคงมองกันไม่ออกหรอกครับว่า นักบินคนไหนเป็นนักบินที่ดีหรือไม่ดี มีแต่นักบินด้วยกันเองนั่นแหละที่จะรู้ว่า บินแบบนี้ ดีหรือยัง

0
0