ผมเขียนเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ A Pilot Book Part II หน้า 141 Evacuation
การอพยพเป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญสำหรับการรับรองความปลอดภัยของเครื่องบิน เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วก่อนที่ A380 จะเริ่มออกทำการบินรับผู้โดยสารได้อย่างเป็นทางการนั้น บริษัท แอร์บัส จะต้องทำการทดสอบระบบของเครื่องบิน เพื่อให้ได้รับการรับรองว่า ผู้โดยสารทั้งลำ จะสามารถอพยพออกจากเครื่องบินได้ทุกคนภายในเวลา 90 วินาที (เครื่องบินรุ่นอื่นๆก็ต้องทำการทดสอบนี้เช่นกัน โพสต์นี้ยกตัวอย่าง A380)
ประเด็นของเครื่องบินแอร์บัส A380 นั้นเป็นการทำสถิติที่น่าสนใจเนื่องจากเป็นเครื่องบินรุ่นใหม่บรรทุกคนได้มากขึ้นกว่า B747-400 ที่เป็นเครื่องบินโดยสารรุ่นใหญ่สุดในตอนนั้น Airbus จึงจะต้องทำสาธิตให้เห็นว่าเครื่องบินรุ่นนี้นั้นทำการอพยพคนตามจำนวนที่นั่งสูงสุดที่สามารถใส่ในเครื่องบินรุ่นนี้ได้ตัวเลขเมื่อใส่เฉพาะเก้าอี้ชั้นประหยัดทั้งหมดคือ 873 คน
ทุกคนต้องออกจากเครื่องบินได้ภายในเวลา 90 วินาที และจากการทดสอบในครั้งนั้นทีมแอร์บัสสามารถทำได้ในเวลาเพียง 77 วินาทีเท่านั้น (เริ่มจับเวลาจากวินาทีที่ได้รับคำสั่งให้อพยพจากภายในห้องนักบินและผู้โดยสารทุกคนต้องนั่งในที่นั่งและรัดเข็มขัดนิรภัยตามปกติ)
และในการทดสอบนี้ก็มีข้อกำหนดด้วยว่าประตูฉุกเฉินนั้นจะสามารถเปิดออกและกาง slides (ทางลาดฉุกเฉิน) ได้เพียงครึ่งเดียวของที่มีอยู่ เช่นถ้ามีประตู 16 ประตู การทดสอบอนุญาตให้เปิดได้เพียง 8 ประตู และจะต้องทำการทดสอบในเวลากลางคืนอีกด้วย ข้อกำหนดนี้ใช้สำหรับเครื่องบินทุกแบบรวมถึงการนำเครื่องบินรุ่นใหม่ๆเข้ามาใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร จะต้องทำการสาธิตว่าสามารถทำขั้นตอนการอพยพได้ภายในเวลา 90 วินาทีเช่นกัน ในวีดีโอจึงค่อนข้างมืดและต้องถ่ายด้วยกล้องอินฟาเรด
อุปกรณ์ที่จะช่วยให้ออกจากเครื่องบินภายใน 90 วินาที มีหลายอย่าง
หนึ่งในอุปกรณ์สำคัญที่ต้องมีอยู่บนเครื่องบินโดยสารคือ Floor Proximity Light หรือแถบไฟนำทาง เป็นส่วนหนึ่งของระบบ emergency lighting system ที่จะสว่างขึ้นทันทีที่มีคำสั่งให้อพยพออกจากเครื่องบิน
แถบไฟนำทางที่อยู่ที่พื้นนั้นจะเป็นเส้นยาวไปถึงประตูทางออกของเครื่องบินทั้งสองฝั่ง
ในเวลากลางวันแถบไฟนี้จะไม่เป็นที่สังเกตนัก แต่ในเวลากลางคืนหรือตอนที่ไม่มีแสงสว่างแถบไฟนี้จะสว่างจ้ามองเห็นได้อย่างชัดเจน
ไฟนำทางนี้จะพาไปสู่ประตูทางออก มันมีความสำคัญสำหรับใช้งานเวลาต้องรีบอพยพออกจากเครื่องบินและโดยเฉพาะเมื่อต้องอพยพในเวลากลางคืนหรือการอพยพที่อาจจะต้องก้มลงและคลานไปกับพื้นอย่างเช่น การเกิดมีไฟไหม้และมีกลุ่มควันไฟหนาแน่นภายในห้องโดยสาร การหมอบคลานไปกับพื้นก็จะสามารถคลานตามไฟนำทางนี้ไปสู่ทางออกฉุกเฉินได้
นอกจากไฟนำทางที่พื้นแล้ว ก็จะมีไฟส่องทางออกหรือ Flood Light และไฟสัญญาณที่ตำแหน่งของทางออกฉุกเฉิน Exit Light ที่จะติดไว้บนเพดานระหว่างกลางทางเดิน ถ้ามีทางเดินสองทางก็จะมีไฟ EXIT อยู่ทั้งสองอันโดยมีลูกศรชี้ออกสองข้างเพื่อบอกว่า “ทางออกฉุกเฉินอยู่ตรงนี้”
ใช้คำว่า “ทางออกฉุกเฉิน” เพราะว่าเครื่องบินบางแบบทางออกฉุกเฉินไม่ใช่ประตูทางเข้าออกปกติ จะใช้เป็นทางออกฉุกเฉินเท่านั้น
และไฟ EXIT Light ที่เหนือทางออกฉุกเฉินทุกบาน
การอพยพ
ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Evacuate ความหมายจริงๆ คือ จำเป็นต้องหนีแล้วที่นี่ไม่ปลอดภัย
ที่อยากให้ผู้โดยสารพึงเข้าใจและปฏิบัติเมื่อได้รับคำสั่งให้ Evacuate ก็คือ
“อย่าเสียเวลาหยิบกระเป๋า”
เพราะอันตรายกำลังมาถึงตัว และมีเวลาค่อนข้างจำกัด
การงุ่มง่ามอยู่กับการหยิบของเป็นการขวางทางผู้อื่น
รวมทั้งหากหยิบสัมภาระไปด้วยก็จะทำให้หนักและรุ่มร่าม
จนทำให้ตัวเองนั่นแหละที่จะอพยพออกจากเครื่องบินได้ช้า
ยิ่งถ้าทำกระเป๋าหล่นระหว่างพยายามออกจากเครื่องบินกระเป๋าก็จะกลายเป็นสิ่งกีดขวางการวิ่งไปที่ประตูทางออก
ลองนึกภาพว่าทุกคนหิ้วกระเป๋ารุงรังและพยายามออกตามทางเดินแคบๆที่อยู่ระหว่างที่นั่งครับ ความทุลักทุเล ระเกะระกะของสัมภาระ ความโกลาหลที่เกิดขึ้น
คุณจะต้องมาเสียใจภายหลัง ถ้าการกระทำของคุณทำให้ผู้อื่นที่ตามมา
“ออกจากเครื่องบินไม่ทันและเสียชีวิต”
การอพยพ ในกรณีที่เลวร้ายสุดๆ คือ มีไฟไหม้เกิดขึ้นและลามเข้ามาภายในห้องโดยสาร
นับตั้งแต่วินาทีที่ไฟเข้ามาภายในห้องโดยสาร มันจะเผาผลาญภายในห้องโดยสารทั้งลำได้ในเวลาเพียง 90 วินาทีเท่านั้น
ดังนั้นเราจึงมีเวลาเพียง 90 วินาทีที่สำคัญมากหากเพลิงไหม้ในห้องโดยสาร ทุกคนต้องรีบอพยพทออกจากเครื่องบิน
อันตรายไม่ได้อยู่แค่เพียงความร้อนจากไฟไหม้ แต่ควันไฟที่คลุ้งตลบอยู่ภายในห้องโดยสารก็คือตัวอันตรายที่ทำให้คนเสียชีวิตเนื่องจากไม่มีออกซิเจนจนขาดอากาศหายใจหรือเกิดการสำลักควันจนหมดสติ
หากสูดดมควันเข้าไปมาก แม้จะออกจากเครื่องบินมาได้แล้วก็ยังอาจมีอาการต่อเนื่องซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอยู่ดี เคยมีการเจ็บป่วยของผู้โดยสารที่อพยพออกจากเครื่องบินที่เกิดควันไฟต้องรับการรักษาเป็นเวลานานหรือจนถึงขั้นเสียชีวิตในภายหลังก็มี
เวลามีเพียง 90 วินาที คุณจะมัวหยิบของอยู่ทำไม ขอให้รักษาชีวิตเอาไว้ก่อนกว่านะครับ เรื่องกระเป๋าสัมภาระเป็นเรื่องรอง
คำสั่งอพยพออกจากเครื่องบินนั้น จะใช้เป็นภาษาอังกฤษว่า “Evacuate” (อ่านออกเสียงว่า “อี-แวค-คิว-เอต”)
การสั่งอพยพอาจพูดซ้ำ 2 ครั้งว่า “evacuate, evacuate”
แล้วจะมีสัญญาณเสียงสูงและมีความถี่สูงอย่างต่อเนื่อง เรียกว่า Evacuation Signal (continuous high pitch tone)
“Beep beep beep beep beep beep beep beep beep……”
เป็นเสียงเร้าใจและแสบแก้วหู เพื่อปลุก(ใจ)ให้ตื่นและรู้ว่ามีสถานการณ์ผิดปกติ ต้องอพยพทันที และเสียง Evac Signal จะดังตลอด
สติจะทำให้เรามีทางออก ผมอยากให้ผู้โดยสารทุกท่านจำให้ขึ้นใจว่า “ขอให้รีบออก อย่าห่วงของ”
เพราะคุณอาจจะกลายเป็นฆาตกรที่ทำให้คนอื่นต้องเสียชีวิตก็ได้ ถ้าเค้าออกจากเครื่องไม่ทันเพราะเราขวางทาง
“ตั้งใจฟังคำสั่งของลูกเรือ และปฏิบัติตามในทันที”
ในระหว่างการอพยพนั้น ลูกเรือก็จะใช้คำพูดประมาณนี้ครับ “come this way, come this way” ถ้าเป็นประตูที่มีบานใหญ่และสามารถที่จะกระโดดลงจากทางลาดได้สองช่องก็อาจจะเพิ่มคำว่า “form two lines” และพูดต่อกันว่า “come this way, form two line” พูดซ้ำๆแบบนี้ไปตลอด
เรื่องของการอพยพออกจากทางลาดที่ใช้เป็นทางออกฉุกเฉินเราเรียกสั้นๆว่า Slide นั้น คนที่ใส่รองเท้าส้นสูงต้องถอดออก เพราะความแหลมของส้นสูงอาจทิ่งตัว slide ให้เกิดการรั่ว (มันถูกกางออกโดยการอัดลมเข้าไป) แม้ว่าตัว canvas ที่เป็นวัสดุในการทำจะมีความหนาและแข็งแรง แต่โอกาสถูกทิ่มตรงๆก็อาจจะรั่วได้
เพราะฉะนั้น ไม่ควรใส่ส้นสูง ถ้าต้องเดินทางโดยเครื่องบิน
สำหรับคนที่ใส่กระโปรงสั้น กระโปรงบาน ถ้า slide มันชันและเป็นทางยาว ความสากของผิว slide จะทำให้กระโปรงเปิดและผิวหนังบริเวณบั้นท้ายจะโดนเสียดสี อาจถึงขั้นถลอกมีเลือดออกได้นะครับ พวกเครื่องบินลำตัวกว้างทั้งหลาย B747, B777, A380, A350, A330 ทางออกจะอยู่สูงจากพื้น ความชันจะทำให้ความเร็วเวลาไถลงมาเกิดความร้อน ส่วนตัวผมนั้นเวลาต้องซ้อมการโดด slide ถุงเท้าขาดแทบทุกครั้งเพราะมันจะถูกับตัว slide จนขาด โดยปกติแล้วการอพยพจริง การบาดเจ็บจากการอพยพก็มีเกิดขึ้นนะครับ โดยเฉพาะหากเครื่องบินนั้นเป็นเครื่องบินลำใหญ่ การบาดเจ็บเช่น ขาพลิก แขนเจ็บ ขาเจ็บ จากการชนกันในระหว่างเลื่อนลงทาง เป็นต้น
เมื่อไหร่ต้องอพยพ
แน่นอนว่า “ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกัปตัน” มันเป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ (จะตัดสินใจผิดหรือถูกมันก็คือการตัดสินใจตามมาตรฐานการบินของคนที่เป็นนักบิน มาตรฐานของนักบิน(กัปตัน)จะถูกกำกับด้วยการฝึกอบรมและการควบคุมคุณภาพการปฏิบัติงานอีกชั้นหนึ่ง และการตรวจสอบระบบการควบคุมคุณภาพ การฝึก การปฏิบัติก็จะเป็นการทำให้เกิดมาตรฐาน (หรือไม่เกิดมาตรฐาน ถ้าหย่อนยานในการตรวจสอบ) อีกทอดหนึ่ง)
การตัดสินใจอพยพ ขอเน้นให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า อพยพฉุกเฉิน คำเต็มๆคือ Emergency Evacuation
ก่อนอื่นเรามาดูเคสเหตุการณ์คล้ายกันที่ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลการสอบสวนสาเหตุออกมาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมากันครับ
เคสนี้เป็นของสายการบิน Turkish Airlines ใช้เครื่องบินโบอิ้ง B737-8000 เครื่องแบบเดียวกันกับสายการบินนกแอร์ที่เกิดการไถลออกนอกรันเวย์ที่สนามบินเชียงรายเมื่อวันที่ 30 กรกฏาคม 2565 ที่ผ่านมา
https://skybrary.aero/accidents-and-incidents/b738-odesa-ukraine-2019
เหตุเกิดที่สนามบิน Odessa ประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 21 พฤษจิกายน 2562 ทำการลงสนามในสภาพมีลมแปรปรวน หลังจากลงสนามแล้วเกิดการไถลออกไปทางซ้ายของรันเวย์และฐานล้อหน้าหักพับและฐานล้อขวาหักในเวลาต่อมา หลังจากเครื่องหยุดนิ่งก็ได้ทำการอพยพผู้โดยสารออกจากเครื่องบินในทันที
ข้อมูลการสวนสวน
กัปตันอายุ 42 ปี เป็นผู้ทำการบังคับเครื่องบินในวันนั้น มีประสบการณ์การบินมา 6,094 ชั่วโมง และ 5,608 ชั่วโมงเป็นชั่วโมงในการบินเครื่องบินแบบโบอิ้ง B737-800 ทำการบินมาที่สนามบิน Odessa ครั้งล่าสุดคือเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว
นักบินผู้ช่วยอายุ 31 ปี มีประสบการณ์การบินมา 252 ชั่วโมง และบินกับเครื่องบิน B737-800 มาเพียง 77 ชั่วโมงและไม่เคยบินมาสนามบิน Odessa มาก่อนเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นประเด็นสำคัญของเหตุการณ์นี้คือ มีกระแสลมแรงและมีการเปลี่ยนทิศทางค่อนข้างมาก ความเร็วลมขวางค่อนข้างแรง กัปตันก็ตระหนักถึงเรื่องนี้และให้นักบินที่สองคอย monitor x-wind components รวมถึงมีการพูดกันไว้ก่อนด้วยว่าเที่ยวบินนี้มีโอกาสที่จะต้อง go around ค่อนข้างสูงนะ ถ้ากระแสลมขวางเกินลิมิตในการลงสนาม แต่ไม่ได้กำชับให้นักบินผู้ช่วยดูเรื่องความเร็วลมส่งท้าย (ทิศทางลมแปรปรวนตลอด แรงลมที่กระทำกับเครื่องบินนั้นต้องมีการแตกแรงว่าเป็นลมต้านหรือลมส่งท้าย และมีลมขวางเท่าไหร่ แต่การคำนวณความแรงลมนั้นทำโดย FMC ที่อยู่บนเครื่องบินและบอกอยู่ในจอแสดงผล)
เครื่องบินร่อนลงสนามโดยล้ำเข้าไปในรันเวย์ค่อนข้างไกล (เพราะลมเป็น tailwind) และลงสัมผัสพื้นรันเวย์ด้วยล้อข้างขวา ตามมาด้วยล้อซ้ายและล้อที่อยู่ส่วนหัว โดยที่เอียงไปจากแนวกึ่งกลางของรันเวย์ (runway centerline) ไป 1.5 เมตร การถอดข้อมูลจากกล่องดำพบว่า นักบินไม่ได้บังคับ ailerons ให้มีมุมบังคับมากพอที่จะทำให้เครื่องบินอยู่ในท่าทางของปีกระดับ (insufficient input of ailerons to keep wing level)
แต่ปัญหาเริ่มเกิดตรงที่ช่วงเวลาที่เครื่องบินยังมีความเร็วมากถึง 130 knots นั้นกัปตันกลับใช้ steering triller เพื่อบังคับล้อหน้าให้หักเลี้ยวขวาโดยตั้งใจให้เครื่องบินนั้นกลับเข้ากลางรันเวย์ แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นเช่นนั้น
(**Steering Triller นั้นเอาไว้ใช้เฉพาะตอนที่เครื่องบินมีความเร็วต่ำๆเท่านั้น)
ตรงนี้เองที่ทำให้เกิดการไถลของเครื่องบินออกไปเพราะล้อหน้านั้นเกิดการ skid ในทันที จากข้อมูลบันทึกว่าการบังคับ steering triller นั้นทำมุมถึง 78 องศา การบังคับรุนแรงนี้ทำให้ยางที่ล้อหน้าเกิดการร่อนออกจากกัน (disintegrate) มีรอยยางเป็นแถบบนพื้นรันเวย์ และ ทิศทางที่เครื่องบินเคลื่อนที่ (trajectory) ก็ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด หลังจากนั้นเครื่องบินก็ไถลหลุดออกไปนอกรันเวย์
ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ (contributing factors)
- การลงสนามด้วยท่าทางหรือ landing technique ที่ไม่ได้รับการแนะนำจากผู้ผลิตในสภาพอากาศที่มีลมขวางและพื้นรันเวย์แห้ง
- ไม่บังคับให้เครื่องบินอยู่กลาง centerline ระหว่างการลงสนามและแตะพื้นรันเวย์
- กระแสลมขวางที่มีกำลังแรง
- ผลกระทบจากทิศทางลมที่เกิดการเปลี่ยนแปลงระหว่าง ลมขวางและส่งท้าย ลมขวางและลมต้าน ในระหว่างที่ทำการร่อนลงสนาม
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมจาก https://skybrary.aero/accidents-and-incidents/b738-odesa-ukraine-2019
สำหรับเหตุการณ์ของนกแอร์เที่ยวบิน DD108 เมื่อวันที่ 30 กรกฏาคม 2565 ที่สนามบินเชียงรายนั้น มีความคล้ายคลึงกันโดยเฉพาะเรื่องของกระแสลมที่มีโอกาสแปรปรวนสูง และการที่มีฝนตกทำให้สภาพพื้นรันเวย์นั้นเปียกน้ำ ปริมาณน้ำมากหรือน้อย กระแสลมแปรปรวนมากหรือน้อย ทิศทางของลมนั้นเป็นลมขวางและล้มต้าน หรือลมขวางและลมส่งท้าย ท่าทางการลงสนามเป็นอย่างไร มีการบังคับเครื่องบินอย่างไร ข้อมูลเหล่านี้จะต้องวิเคราห์จากข้อมูลที่ได้จากกล่องดำ อะไรบ้างที่เป็น contributing factors เราต้องรอรายงานการสอบสวนครับ ผมจะไม่วิเคราะห์วิจารณ์อะไรเพิ่มเติมนะครับ สาเหตุของอุบัติเหตุนั้นต้องรอรายงานเท่านั้น อ่านสรุปข้อมูลเหตุการณ์นกแอร์ไถลออกนอกรันเวย์ที่เชียงราย
ส่วนการตัดสินใจในการอพยพ (evacuation) หรือการนำผู้โดยสารออกจากเครื่องบิน (disembark) ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ครับ
หลักสำคัญที่สุดในการจัดการอุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์ที่ไม่ปกติทั้งหลายนั้นคือ การสื่อสาร Effective Communications
In an emergency evacuation, effective communications among the crew members and with the passengers is essential for a timely, orderly, effective response.
ประเด็นว่าเหตุการณ์แบบไหนที่ต้อง evacuate นั้น ในความคิดผมคือ เมื่อมันเกิดความไม่ปลอดภัยขึ้นอย่างชัดเจน เช่น ไฟไหม้ เกิดระเบิด หรือเหตุการณ์นั้นคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปหรือไม่ เมื่อไหร่ เช่น เครื่องบินจะแตก จะหักหรือไม่ มีน้ำมันจะรั่วหรือเปล่า น้ำมันรั่วไปโดนความร้อนที่เบรคแล้วไฟลุกหรือเกิดระเบิดตูมตามขึ้นมาได้ไหม แบบนี้เป็นต้น ในสถานการณ์ที่เครื่องบินอยู่ในสภาพไม่ปกติ การป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อผู้ที่อยู่ในอากาศยานจากเหตุการณืที่ไม่สามารถคาดเดา คือ การนำผู้โดยสารออกจากเครื่องบินโดยเร็วเพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนเป็นเรื่องจำเป็นครับ ยกเว้นว่า มั่นใจจริงๆว่า อยู่บนเครื่องบินปลอดภัยกว่าแน่นอน ก็ต้องมีเหตุผลมาสนับสนุนความคิดนั้น และสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจเพื่อเป็นการบริหารจัดการให้ทุกคนเกิดความเชื่อมั่น ตั้งสติได้และอยู่ในความสงบ
เมื่อไหร่ก็ตามที่เครื่องบินไม่อยู่ในสภาพที่สามารถปกป้องผู้โดยสารได้แล้ว ก็สมควรให้ออกจากเครื่องบินโดยเร็ว
ลองอ่านข้อมูลฉบับสมบูรณ์เที่ยวบิน flight SQ368 ของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ครับ เหตุเกิดเมื่อมิถุนายน 2016 และรายงาน final report ได้รับการเผยแพร่ในปีถัดมา Final Report Singapore Airlines SQ368
- เสือ ควาย หมา “The Right Man”
- Workshop Diversity Management in Organizations for Human Resources
- การจัดการคาร์บอนอย่างยั่งยืนสำหรับภาคธุรกิจ รุ่นที่ 2
- House of Airmanship
- Airmanship