Day: October 28, 2019

Aircraft-Airport

เคยอ่าน ๆ โพสต์หรือคอมเม้นต์ของผู้โดยสารประมาณว่า  ทำไมไม่ใช่เครื่องบินรุ่นนั้น รุ่นนี้ มาลงที่นั่น ที่นี่ อยากให้เป็นเครื่องบินเจ็ต หรืออะไรทำนองนั้น ผมขออธิบายตามนี้ครับ ไม่ใช่ทุกสนามบินจะสามารถใช้เครื่องบินรุ่นไหนบินลงสนามก็ได้ เครื่องบินแต่ละแบบอาจจะไม่สามารถลงสนามบินได้ทุกสนาม สนามบินกับเครื่องบิน กว่าจะจับคู่กันได้ ต้องตรวจสอบข้อกำหนดและข้อจำกัดหลายอย่างครับ แบ่งง่าย ๆ สไตล์ผม คือ ด้านประสิทธิภาพหรือข้อจำกัด  กับด้านการบริการ(ที่เป็นข้อบังคับ) เช่น ความแข็งของพื้นรันเวย์และ taxiway  ต้องสามารถรับน้ำหนักของเครื่องบินได้  (ค่า PCN  ต้องมากกว่าค่า ACN ไม่อธิบาย ยาก) ความกว้างของ runway และ taxiway  เหมาะสมกับความกว้าง ยาวของเครื่องบินและฐานล้อ เรื่องที่จอดและหลุมจอด  ต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับเครื่องบินแบบนั้น ๆ ความสูงของ terrain หรือสิ่งกีดขวาง (obstacle) โดยรอบ  ซึ่งต้องใช้คำนวนอัตราการไต่ หรือการร่อนลงสนามด้วยว่า  performance ของเครื่องบินสามารถบินผ่าน หรือพ้นสิ่งกีดขวางได้ตามข้อกำหนดหรือไม่ ความสูงของสนามจากระดับน้ำทะเล อุณหภูมิ  และความกดอากาศ  ก็เป็นเรื่องของ performance requirement เช่นกัน ยังมีเรื่องอุปกรณ์สนับสนุนภาคพื้นต่าง ๆ เช่น  รถดัน (Tow-Tug truck) พื้นที่กลับตัวบนรันเวย์ หรือในลานจอด รวมถึงข้อบังคับอีกอย่างหนึ่งคือ ความสามารถในการรับมือกับการดับไฟหรือเหตุฉุกเฉินและการช่วยเหลือ (Search and Rescue) หรือ เราเรียกกันว่า Rescue and Fire […]

อย่าทำแบบนี้บนเครื่องบิน

ความสงบเรียบร้อยภายในห้องโดยสารนั้น  มีส่วนสำคัญในแง่ของความปลอดภัยเวลาที่มีสถานการณ์ฉุกเฉิน บางครั้งผู้โดยสารอาจไม่เข้าใจเหตุผลว่า  เวลาขึ้นเครื่องบินทำไมต้องให้ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้  “ฉันจะวางของไว้ตรงนี้ไม่ได้หรืออย่างไร  ฉันจ่ายเงินมานะ ทำไมจะทำไม่ได้” มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้โดยสารยังไม่ทราบว่า การกำหนดให้ปฏิบัติอย่างนั้น อย่างนี้นั้น เป็นเพราะอะไร เรามาลองอ่านเรื่องเบา ๆ ที่ถือเป็นคำแนะนำในการเดินทางให้มีความสะดวกราบรื่นกันครับ กฏหมายกำหนดให้สายการบินดูแลจัดการเรื่องต่าง ๆ ภายในห้องโดยสารให้มีความเรียบร้อย การเก็บของนั้นถูกกำหนดให้เก็บในที่เก็บที่จัดไว้ให้เท่านั้น และบางที่นั่งอาจไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารบางประเภทนั่ง ซึ่งเป็นการจัดการของสายการบินเพื่อกำจัดปัญหาหากมีกรณีฉุกเฉิน ไม่ให้สิ่งของหรือข้าวของระเกะระกะ รวมถึงคนที่อยู่ในบริเวณที่กำหนดจะต้องไม่กลายเป็นสิ่งกีดขวางในการอพยพฉุกเฉิน ประเด็นที่ผมเขียนมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างของการปฏิบัติเวลาเดินทางโดยสารเครื่องบิน  หากมีเรื่องของการไม่ปฏิบัติตามกฏระเบียบที่กำหนดไว้กฏหมายมีการกำหนดบทลงโทษไว้ในพระราชบัญบัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 ซึ่งระวางโทษค่อนข้างรุนแรง นั่นเป็นเพราะว่า กฏหมายพิจารณาว่าการกระทำฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความสงบเรียบร้อยเป็นการทำให้ผู้อื่นมีโอกาสมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้ เราลองมาดูมาตราต่าง ๆ ตามกฏหมายในพระราชบัญญัติฉบับนี้กันสักเล็กน้อยครับ “การสูบบุหรี่ในห้องน้ําหรือที่อื่นใดที่มิใช่สถานที่ที่จัดไว้ให้สูบบุหรี่เป็นการเฉพาะ ผู้กระทำต้องระวางโทษปรับตามพรบ.ฯสองหมื่นบาท” ประเด็นเรื่องการสูบบุหรี่คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากก็น่าจะเข้าใจได้ว่าบุหรี่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ โดยเฉพาะในบริเวณที่เป็นเขตอากาศยานหรือที่เรียกว่า Airside นั้นมีอันตรายหรือเกิดเพลิงลุกไหม้ได้ง่ายหากมีประกายไฟ เนื่องจากบริเวณที่จอดเครื่องบินอาจมีการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เครื่องบิน หรือมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่นต่าง ๆอยู่ ของเหลวประเภทนี้อาจติดไฟได้เมื่อทิ้งก้นบุหรี่ลงไป ในบริเวณเหล่านี้จึงต้องห้ามสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด หรือ “การมีสิ่งที่มีประกาศห้ามมิให้นําขึ้นไปในอากาศยานไว้ในการครอบครอง ถ้าเป็นการกระทําเพื่อให้เกิดการขัดข้องแก่อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของอากาศยาน  ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ” กรณีนี้จะเห็นว่า เพิ่มโทษที่รุนแรงขึ้นและมีโทษจำคุกด้วยเพราะถือเป็นคดีอาญาหากพิสูจน์ได้ว่าอุปกรณ์ที่นำขึ้นไปนั้นก่อให้เกิดอันตรายแก่เครื่องบินและผู้อื่นได้ กฏหมายถือเป็นการคุกคามด้านความปลอดภัยโดยรวมของเที่ยวบิน เพราะฉะนั้น วัตถุต้องห้ามตามประกาศของสายการบิน ผู้โดยสารควรให้ความสนใจและไม่พกพาขึ้นเครื่องบินนะครับ “ผู้อยู่ในอากาศยานในระหว่างการบินผู้ใดทําให้เครื่องตรวจจับควันหรืออุปกรณ์อื่นใด ในอากาศยานที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของอากาศยานไม่ทํางาน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ“ ข้อนี้เป็นเรื่องของการจงใจที่จะทำให้อุปกรณ์ไม่ทำงาน อย่างเช่น การพยายามสูบบุหรี่ในห้องน้ำ โดยการทำลายเครื่องตรวจจับควันในห้องน้ำให้ไม่ทำงานเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าแอบสูบบุหรี่อย่างนี้ เป็นต้น                              ส่วนเรื่องการทำอนาจารหรือการใช้วาจาลวนลามหรือกิริยาท่าทางอันเป็นลามก การทำให้ผู้อื่นรู้สึกอับอาย ก็มีบทบังคับเอาไว้เช่นกันครับ เพราะกฏหมายถือว่าเป็นการปกป้องสิทธิส่วนบุคคลและทำให้เกิดความสงบเรียบร้อย โดยมีบทลงโทษถึงขั้นจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ  ผู้อยู่ในอากาศยานในระหว่างการบินผู้ใดทําร้ายร่างกายผู้อื่น ถ้าการกระทํานั้นน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัยของอากาศยาน ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ห้าปี ถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ กรณีเป็นความชัดเจนในเรื่องของการทำให้เกิดความไม่สงบ บทลงโทษจึงมีความรุนแรง ทำไมความไม่สงบจึงเกิดปัญหาที่ต้องมีบทลงโทษรุนแรงด้วย เพราะการทำให้เกิดความโกลาหลเป็นเรื่องยากต่อการควบคุมโดยผู้ปฏิบัติหน้าที่ประจำเที่ยวบินเพียงไม่กี่คน การก่อการที่ทำให้เกิดความวุ่นวายจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีความเสี่ยงที่เที่ยวบินจะต้องมีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงแผนการเดินทางโดยไม่จำเป็น ซึ่งตรงนี้ถือเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับเที่ยวบินนั้น ๆ ครับ แต่ถ้าเป็นการใช้กำลังทำร้ายผู้ควบคุม อากาศยาน (นักบิน) หรือเจ้าหน้าที่ประจำอากาศยาน ในที่นี้หมายถึง ลูกเรือบนเที่ยวบิน อันนี้กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย เพราะเท่ากับเป็นการทำให้เที่ยวบินนั้นเกิดความเสี่ยงภัยขั้นรุนแรง เพราะเจ้าหน้าที่ประจำอากาศยานหรือผู้ควบคุมอากาศยาน อาจจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของเที่ยวบินต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ กฏหมายจึงมีบทลงโทษรุนแรงขึ้นอีกและจำคุกไม่เกิน 7 ปี จริง ๆ มาตรานี้รวมถึงการข่มขู่หรือทำให้เกิดความหวาดกลัวไม่ว่าจะทําด้วยการใช้แรงทางกายภาพหรือด้วยวิธีอื่นใด อีกเรื่องหนึ่งที่ถือเป็นเรื่องที่กฏหมายตีความว่าเป็นเรื่องของการกระทำโดยการขาดความรับผิดชอบจึงมีบทลงโทษเอาไว้ตามนี้ครับ “ผู้ใดแจ้งข้อความหรือส่งข่าวสารซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จ และการนั้นเป็นเหตุหรือ น่าจะเป็นเหตุให้ผู้ที่อยู่ในท่าอากาศยานหรือผู้ที่อยู่ในอากาศยานในระหว่างการบินตื่นตกใจ ผู้กระทํา ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ถ้าการกระทํานั้นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัยของอากาศยานในระหว่างการบิน ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงหกแสนบาท หรือทั้งจํา ทั้งปรับ”  ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ได้จะต้องการทำให้ท่านผู้โดยสารรู้สึกกลังวล หรือคิดว่าเรื่องมากอะไรนะครับ วัตถุประสงค์หลักจริง ๆ ของผมคือ อยากให้ผู้โดยสารได้รู้และเข้าใจบทบาทและหน้าที่ที่มีความสำคัญของแต่ละคน  ผู้โดยสารทุกคนมีส่วนรับผิดชอบร่วมกันในการป้องกันอุบัติเหตุและปกป้องความเป็นระเบียบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาครับ กฏหมายหรือข้อบังคับไม่จำเป็นต้องถูกใช้เลยถ้าเรารู้ เข้าใจ ที่มาที่ไปจริงไหมครับ ขอให้ทุกคนเดินทางได้โดยสะดวกราบรื่นและมีความปลอดภัยครับ

ทำไมต้องเปิดหน้าต่าง

สำหรับท่านผู้โดยสารที่เดินทางบ่อย ๆ มักจะคุ้นเคยกันดีกับการประกาศของลูกเรือบนเที่ยวบินให้ปฏิบัติบางอย่าง เช่น กรุณาปรับเก้าอี้ให้อยู่ในระดับตรง การเปิดม่านหน้าต่างในขณะที่เครื่องบินจะทำการวิ่งขึ้นหรือร่อนลงสนามเป็นต้น การปรับเก้าอี้นั่งให้ตั้งตรงนั้นมีความสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการกระแทกกับเก้าอี้ด้านหน้าครับ โดยปกติลูกเรือจะประกาศให้ผู้โดยสารปรับที่นั่งให้อยู่ในระดับตรง เมื่อเครื่องบินจะทำการวิ่งขึ้นและก่อนที่จะทำการลงสนามเพื่อที่หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นผู้โดยสารจะไม่เหวี่ยงไปกระแทกเก้าอี้ด้านหน้า และหากจำเป็นที่จะต้องทำการอพยพก็จะสามารถทำได้ทันทีและรวดเร็วโดยไม่มีพนักเก้าอี้ใดเอนนอนอยู่จนเป็นการกีดขวางการอพยพครับ ส่วนเรื่องการปรับม่านหน้าต่างเปิดขึ้นทั้งในขณะที่เครื่องบินจะทำการวิ่งขึ้นหรือร่อนลงสนามนั้น ก็เป็นเหตุผลด้านความปลอดภัยเช่นกัน ในกรณีฉุกเฉินที่จำเป็นต้องอพยพจะสามารถมองเห็นด้านนอกได้ว่าเป็นอย่างไร และถ้าปิดม่านหน้าต่างไว้หากโครงสร้างของเครื่องบินเกิดบิดเบี้ยวเพราะอุบัติเหตุก็อาจจะทำให้ม่านหน้าต่างไม่สามารถเปิดขึ้นได้ เรื่องม่านหน้าต่างนี้มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ประกอบกันกับการเปิดและปิดไฟในขณะที่เครื่องบินจะทำการวิ่งขึ้นหรือร่อนลงสนาม  หากเป็นการบินตอนกลางคืนในระหว่างบินระดับอยู่บนอากาศ ลูกเรือจะปรับไฟในห้องโดยสารให้สว่างเพื่อให้บริการผู้โดยสารได้โดยสะดวกจนกว่าจะบริการเสร็จ พอใกล้ ๆ จะถึงพื้นลูกเรือก็จะลดระดับความสว่างของไฟภายในห้องโดยสารลง และประกาศให้ผู้โดยสารเปิดม่านหน้าต่างไปพร้อมกันด้วย  ถ้าเป็นการบินระดับช่วงเวลากลางวัน แดดจัด ๆ ผู้โดยสารมักจะปิดม่านหน้าต่างลงเพื่อบังแดดไม่ให้ร้อนหรือแสบตา แต่เมื่อถึงช่วงขณะที่จะร่อนลงสนามลูกเรือก็จะประกาศให้เปิดม่านหน้าต่างขึ้น ตรงนี้คือ การปรับสายตาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของแสงให้ม่านตาของเราปรับสภาพการมองเห็นในสภาวะแวดล้อมของแสงในขณะนั้น ลองนึกภาพว่า ในเวลากลางคืนหากยังเปิดไฟในห้องโดยสารไว้สว่างจ้าจนกระทั่งถึงพื้นแล้วมีความจำเป็นต้องอพยพ ระบบไฟให้แสงสว่างในห้องโดยสารดับวูบไป สายตาหรือรูม่านตาก็จะเกิดการพร่ามัวไปชั่วขณะ หากเป็นเวลากลางวัน ทุกคนปิดหน้าต่างกันหมดเพราะแดดร้อน เมื่อต้องอพยพและเปิดประตูหรือหน้าต่าง แดดที่จ้าก็จะทำให้ตาเราพร่ามัวไปชั่วขณะเช่นกัน การเปิดหน้าต่างยังเป็นการทำให้เราสามารถมองเห็นภายนอกและรับรู้สถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก เช่น หากมีไฟลุกไหม้อยู่ด้านนั้นหรือในบริเวณนั้นก็ทำให้เราสามารถตัดสินใจอพยพไปอีกทางหนึ่งได้ทันที การเปิดหน้าต่างในระหว่างที่เครื่องบินจะทำการวิ่งขึ้นหรือร่อนลงสนามและการเปิด ปิดไฟจึงมีความสำคัญมากครับทุกคนจึงควรปฏิบัติตามเวลาที่ลูกเรือประกาศนะครับ ยังมีอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งที่ผู้โดยสารอาจจะไม่ค่อยได้สังเกตหรือให้ความสำคัญเท่าไหร่ ไฟทางออกฉุกเฉินครับ  เมื่ออ่านถึงตรงนี้ ท่านผู้โดยสารเคยสังเกตกันไหมครับ เวลาเดินทางลองมองไปที่พื้นข้างทางเดินระหว่างที่นั่งดูครับ ท่านจะมองเห็นแถบไฟนำทางเป็นเส้นยาวไปถึงประตูทางออกของเครื่องบิน แถบไฟนำทางนี้จะสว่างขึ้นเองทันทีที่กัปตันมีคำสั่งให้ต้องมีการอพยพออกจากเครื่องบิน ไฟนำทางนี้จะพาไปสู่ประตูทางออก มันมีความสำคัญและใช้งานกรณีการอพยพเท่านั้นครับ และโดยเฉพาะเมื่อต้องอพยพในเวลากลางคืนไฟนำทางเหล่านี้จะสว่างและเห็นชัดเจนในที่มืด หรือ การอพยพอาจจะต้องก้มลงและคลานไปกับพื้นอย่างเช่น การเกิดมีไฟไหม้และมีกลุ่มควันไฟหนาแน่นภายในห้องโดยสาร การหมอบคลานไปกับพื้นก็จะสามารถคลานตามไฟนำทางนี้ไปสู่ทางออกฉุกเฉินได้ครับ การรู้จักและเข้าใจเหตุผลของการปฏิบัติต่าง ๆ ทำให้เราเดินทางอย่างปลอดภัยร่วมกันครับ ดังนั้นทุก ๆ ครั้งที่เดินทางโดยเครื่องบินขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของกัปตันและลูกเรือนะครับ ขอบคุณภาพจาก pexels.com กลับหน้าแรก

0
0