Airmanship
จากบทความเรื่อง “Airmanship ฉบับโสภณ” หนังสือ A Pilot Book by Captain Sopon Phikanesuan (ซื้อหนังสือได้ที่ shopee และ facebook page (ลาซาด้าไม่ได้วางจำหน่าย) คำว่า Airmanship แปลตามพจนานุกรม หมายถึง ทักษะ ความรู้ ประสบการณ์ และวิธีการทำงานที่ทำให้การควบคุมเครื่องบินมีความปลอดภัย อันนี้ผมพยายามแปลตรง ๆ ดู ตามหนังสือเขาว่าไว้ว่า Airmanship ประกอบไปด้วย 3 ส่วนคือ ทักษะในการทำงานและรวมถึงความรู้ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการบิน (Skill) ความเชี่ยวชาญหรือประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึงความสามารถในการนำความรู้ไปใช้งาน (Proficiency) และความมีระเบียบวินัยในการปฏิบัติงาน (Discipline) ผมว่าเขียนตามหลักวิชามันน่าเบื่อ เหมือนเอาหนังสือมาแปลให้อ่าน เขียนตามความเข้าใจและที่อยากให้คนอ่านเข้าใจดีกว่า (ว่าแล้วก็ปิดตำรา และมาต่อกันที่ความเข้าใจส่วนตัวละกันครับ) ถ้าจะให้อธิบายความหมายจากความรู้สึกส่วนตัวจริง ๆ ไม่อิงตำราหรือหนังสือที่ไหน Airmanship ผมขอแปลว่า “กึ๋น” ครับ สั้น ๆ เลย Airmanship มันคือ กึ๋นในการทำงานของนักบิน มันเป็นตัวบอกว่า นักบินคนนั้น เป็นนักบินที่ดีหรือไม่ มีการทำงานที่มีช่องโหว่แห่งอุบัติเหตุหรือไม่ จริง ๆ การบินเป็นอะไรที่ง่ายและไม่ซับซ้อน ถ้ารู้และเข้าใจ รวมทั้งรู้ศักยภาพของตัวเองด้วย (อันสุดท้ายนี่สำคัญมาก) การบินเพื่อให้ทุก ๆ เวลามีความเสี่ยงภัยน้อยที่สุด หรือลดดีกรีความรุนแรงของปัญหาให้เร็วที่สุดและมากที่สุด การบินเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย และมีความซับซ้อนมากที่สุดเช่นกัน โดยเฉพาะกับนักบินที่ยังขาด Airmanship ที่ดี และอีกพวกคือพวกที่มีความมั่นใจไร้สติ (Overconfidence) พวกนี้มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุมากที่สุด เพราะอาจจะทำอะไรที่เป็นการแหกกฏ […]
นักบินหญิงในอินเดีย
8 ตุลาคม 2565 รู้หรือไม่ อินเดียมีนักบินผู้หญิงเป็นสัดส่วนมากที่สุดในโลกเลยทีเดียว อินเดียมีนักบินเป็นผู้หญิงถึง 12.4% ซึ่งนับว่ามากกว่าอัตราเฉลี่ยของทั่วโลกถึงสองเท่า ตัวอย่างเช่น แอร์ฟรานซ์มีนักบินหญิงอยู่ประมาณ 7% Lufthasa และ KLM มีเพียง 6%เท่านั้น ของไทยมีเท่าไหร่ไม่ทราบนะครับ ต้องลองถามทาง CAAT ดู สำนักข่าวยูโรนิวส์ออกวิดีโอสัมภาษณ์กัปตัน Zoya กัปตันหญิงของสายการบินแอร์อินเดีย เผื่อจะเป็น inspirations ให้กับน้องๆที่อยากเป็นนักบินลองไปดูกันครับ
วินาทีที่เริ่มต้นชีวิตการเป็นนักบินอาชีพ
วินาทีที่ศูนย์จุดศูนย์ศูนย์หนึ่ง ในอาชีพนักบิน ตอนที่ผมสอบสัมภาษณ์กับ professor ในช่วงคัดเลือกเป็นนักบินฝึกหัดของการบินไทย (ปี 1992) ในระหว่างการพูดคุยนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฝรั่งถามผมว่า คุณเป็นนักวิทยาศาสตร์คิดดีแล้วหรือที่จะมาเป็นนักบิน ผมไม่รู้หรอกว่าฝรั่งที่สัมภาษณ์ผมนั้น เค้าตั้งใจถามเพราะอยากรู้คำตอบจริงๆหรือว่าแค่อยากจะลองเชิงดูว่า เราจะตอบคำถามเค้าอย่างไร ผมมองว่าเค้าต้องการดูวิธีการเรียบเรียงคำตอบ เพื่อที่จะลองปะติดปะต่อเรื่องราวหลายๆอย่างจากข้อมูลคะแนนที่ได้ทำข้อสอบไปเมื่อวาน (ขอไม่พูดถึงเรื่องการสัมภาษณ์ ให้อ่านจากเล่มก่อนหน้านี้โดยเฉพาะเล่ม Part III ครับ) บทความจากหนังสือ 20000 Hours หนังสือ A pilot book เล่มที่ 5 ผมคิดในใจแบบนี้ครับ ไม่ว่าเค้าจะมีวัตถุประสงค์ในการถามว่าอย่างไร แต่การตอบของเราคือ ตอบตามความเป็นจริงเสมอ ผมคิดเอาไว้แบบนั้นตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าสัมภาษณ์แล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าเราเป็นตัวเราการสอบผ่านการคัดเลือกหมายความว่า เราเหมาะสมที่จะทำสิ่งนั้น (ตามความเห็นของผู้สัมภาษณ์) วันนั้นผมจึงตอบ professor ไปตามตรงว่า “ยังไม่รู้” ครับ ในตอนนั้น ผมยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเครื่องบินและการบินเลยจริงๆครับ เครื่องบินหน่ะรู้จัก สายการบินก็รู้จัก ก็แค่นั่งรถผ่านสนามบินดอนเมืองแล้วมองเห็นฝ่ายซ่อมบำรุงอากาศยานของบริษัทการบินไทย ตอนเป็นเด็กก็แค่นึกอยู่ในใจว่า เครื่องบินมันลำใหญ่จัง มันไปลอยอยู่บนฟ้าได้ยังไง วันที่ผมพูดคุยกับ professor ผมเคยขึ้นเครื่องบินแค่เพียงครั้งเดียวในชีวิต เป็นการอยู่ใกล้ชิดเกี่ยวกับเครื่องบินมากที่สุด คือการขึ้นเครื่องบินจากสนามบินจังหวัดเลยเพื่อกลับมากรุงเทพฯ ซึ่งเป็นวันหลังจากที่มีเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ทำให้การลงทะเบียนเรียนปริญญาโทถูกเลื่อนออกไป ตัวผมและเพื่อนซึ่งกำลังรับงานช่วยสำรวจธรณีพื้นฐานอยู่ที่พื้นที่ในจังหวัดเลยและหนองคาย ซึ่งเป็นพื้นที่แหล่งเป้าหมายในการทำเหมืองทองคำในอนาคต เขียนไหลออกนอกทางไปเรื่อยครับ กลับมาที่การขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ผมออกจะตื่นเต้นมากด้วยซ้ำตอนที่ขึ้นเครื่องบินวันนั้น จำได้ว่าเป็นเครื่องบินใบพัดลำไม่ใหญ่มาก ตอนนั้นไม่รู้จริงๆว่ามันคือเครื่องบินรุ่นอะไร ตอนที่นั่งอยู่บนเครื่องระหว่างที่บินกลับมาสนามบินดอนเมืองก็ยังคิดไปเรื่อยเกี่ยวกับเครื่องบิน แล้วสักพักก็มีเสียงกัปตันประกาศว่าเครื่องบินจะต้องล่าช้าเล็กน้อยเพราะมีเครื่องบินมาลงสนามพร้อมๆกัน ผมก็จึงได้รู้สึกว่า เครื่องบินมันบินวนมาที่เดิมจริงๆ ตรงนี้ทำให้คิดว่า แล้วนักบินเค้ารู้ได้ยังไงว่ะ ว่าสนามบินมันอยู่ตรงไหน บินวนไปวนมาตั้งหลายรอบแล้ว “ถนนบนฟ้ามันขีดเส้นไว้ยังไงกัน” เร่ิมนับวินาทีที่ “ศูนย์จุดศูนย์ศูนย์หนึ่ง” […]
ความกลัว ความกังวลและความเครียด
ความเครียดกับการเป็นนักบิน สำหรับคนที่ติดตามอ่านเรื่องที่ผมเขียนตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา ก็คงจะพอรับรู้ได้บ้างว่าการเป็นนักบินนั้นมีความเครียดเวลาที่มีสถานการณ์ไม่ปกติ แต่ “ความเครียดกับการเป็นนักบินไม่ใช่ของที่ควรอยู่คู่กัน” ก่อนอื่นผมขอนิยาม คำว่า “ความกลัว ความกังวล ความเครียด” ตามแนวความคิดของผมแบบนี้ครับ ความกลัวเกิดจาก ความไม่รู้ หรือไม่สามารถประเมินได้ว่า จะมีอันตรายหรือรุนแรงแค่ไหน หรือจะเป็นความกลัวที่เกิดจากการคาดคะเนด้วยมโนภาพหรือจินตนาการไปต่าง ๆ นานา แบบกลัวผี โดยที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง หรือ ตรรกะตามข้อเท็จจริงใด ๆ เลยก็ได้ ความกังวลเกิดจากความไม่มั่นใจในสถานการณ์ ไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอให้เชื่อมั่น หรือยังยืนยันไม่ได้ ไม่เห็นด้วยตาตัวเองประมาณนี้เป็นต้น ความเครียด อาจเป็นการสะสมรวมกันของความกังวลและความกลัว โดยที่ไม่สามารถหาเหตุผลมาหักล้างหรือสนับสนุนให้เกิดความเชื่อมั่น โดยอาจมีเรื่องของเวลาเข้ามาเป็นตัวตีกรอบหรือเป็นสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้เกิดความเครียดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือหลาย ๆ เรื่องรวม ๆ กัน นักบินก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดความกลัว ความกังวล หรือความเครียดนั้นย่อมเกิดขึ้นได้ แต่นักบินต้องมีวิธีบริหารจัดการมันให้ได้ในเวลาที่มีจำกัด โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนเครื่องบิน นักบินต้องบริหารจัดการทั้งความกลัว ความกังวล และความเครียดได้ เอาทีละเรื่องเลยครับ “ความกลัว เกิดจากความไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบิน การแก้ปัญหาเรื่องความกลัวในการบิน ก็ต้องแก้ด้วยการศึกษาและฝึกฝนตนเองให้รู้อย่างถ่องแท้ตามลำดับขั้นตอนที่จำเป็นต้องรู้ อาทิเช่น ก่อนขึ้นบินครั้งแรก โรงเรียนการบินเค้าสอนอะไร นั่นแหละคือสิ่งที่ต้องรู้ ก่อนนั่งในเก้าอี้นักบิน เรียนให้รู้และเข้าใจ ground school ก่อนการขึ้นบินครั้งแรกคือ สิ่งจำเป็นสำหรับการขับเครื่องบิน แม้ว่าจะขึ้นบินกับครูก็ตามที ก่อนปล่อย solo ก็ต้องเรียนรู้ทฏษฎีและกฏระเบียบด้านการบินมาหมดแล้ว วงจรการบินเป็นอย่างไร downwind ห่างเท่าไหร่ เมื่อไหร่ต้อง turnbase ดูอย่างไรเพื่อเลี้ยวเข้า […]